Skip to content

ชุมชนผาด่าน

บ้านผาด่าน เป็นชุมชนชาวปกาเกอะญอที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ราว พ.ศ. 2390 จนถึงปัจจุบัน ผาด่านจึงมีอายุเกือบ 300 ปี ในสมัยแรกมีชาวบ้านได้อพยพมาจากบ้านแม่เรียงพัฒนา ซึ่งในปัจจุบันคืออําเภอเสริมงาม จังหวัดลําปาง ต่อมาบางส่วนได้แยกย้ายออกไปอาศัยอยู่ที่บ้านห้วยแม่สะแง๊ะ อยู่ได้ประมาณ 2-3 ปี ก็ย้ายไปอาศัยอยู่บ้านห้วยแม่อมฮึก และมาอยู่ที่บริเวณลําห้วยผาด่าน อําเภอแม่ทา จังหวัดลําพูน อยู่ได้ประมาณ 5-6 ปี จึงได้ขยับย้ายมาตั้งถิ่นฐานใหม่ในบริเวณที่เป็นที่ตั้งชุมชนในปัจจุบัน โดยเริ่มแรก ผู้ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้มีเพียง 5 ครัวเรือน จากนั้นจึงอพยพตามกันมาเรื่อย ๆ จนขยายใหญ่เป็นหมู่บ้านดังเช่นปัจจุบัน

ขณะเดียวกันคนเฒ่าคนแก่ในชุมชนก็มีตํานานเรื่องเล่าที่เล่าให้ลูกหลานฟังว่า เดิมทีบ้านผาด่านมีชื่อว่า “พอฮุ่ยถ่า” เป็นชื่อเรียกตามลักษณะของป่าไม้ที่กว้างใหญ่และเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด ในภาษาปกาเกอะญอ คําว่า “พอ” แปลเป็นภาษาไทยว่า ดอกไม้ “ฮุ่ย” แปลว่า ต้นไม้ รากไม้ ส่วนคําว่า “ถ่า” แปลว่า สบ ห้วย ซึ่งในอดีตมีต้นไม้หอมชนิดนี้อยู่บนภูเขา ชาวบ้านจึงใช้ชื่อต้นไม้หอมเป็นชื่อของหมู่บ้าน และต่อมามีคนเมืองกลุ่มหนึ่งเรียกหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านผาด่าน” เพราะจากคําบอกเล่าสืบต่อกันมาว่าราว 700 ปีก่อน หมู่บ้านนี้เคยเป็นด่านทหารของพระนางจามเทวีมาก่อน จึงเรียกหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านผาด่าน” จนถึงปัจจุบัน

จุดเด่นของชุมชนบ้านผาด่าน

1. ธรรมชาติที่งดงาม

  • ล้อมรอบด้วยป่าไม้และภูเขาที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะสำหรับการเดินป่าและท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
  • มีแหล่งน้ำธรรมชาติและลำธารที่สามารถพักผ่อนหรือทำกิจกรรมทางน้ำได้

2. การอนุรักษ์วัฒนธรรม

  • ชาวบ้านให้ความสำคัญกับการรักษาวัฒนธรรมล้านนาและภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น การทอผ้า การจักสาน และการทำอาหารพื้นเมือง

3. กิจกรรมเชิงชุมชน

  • นักท่องเที่ยวสามารถเข้าร่วมกิจกรรม เช่น การทำนา การเรียนรู้การทอผ้าพื้นเมือง หรือการทำเครื่องจักสานจากวัสดุธรรมชาติ

ศักยภาพชุมชน

ศักยภาพของชุมชนบ้านผาด่าน ตามที่ได้จากการประชุมเพื่อวิเคราะห์ศักยภาพ คือตัวองค์ความรู้ ทางด้านวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงชุมชนบ้านดอยยาว ที่มีอยู่ตามหมู่บ้านหรือชุมชน และยังสามารถรักษาและ สืบทอดไว้ได้ และตัวผู้นําชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน และผู้นําทางจิตวิญญาณ ที่เข้มแข็ง และแม้ว่าวัฒนธรรม กะเหรี่ยงแบบดั้งเดิมบางอย่างจะหายไป เลิกไป หรือถูกปรับเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น ทางชุมชมก็ยังมีศักยภาพ ที่จะสามารถดําเนินการตามวิธีการที่จะทําให้ไม่ให้สูญหายและอนุรักษ์ไว้ได้ ดังนี้

1. การประยุกต์ คือ การปรับความรู้เก่าร่วมกับความรู้ใหม่ เพื่อให้เหมาะสมกับสังคมที่เปลี่ยนไป เช่น การประยุกต์การบวชมาเป็นการบวชต้นไม้เพื่อให้เกิดสํานึกการอนุรักษ์ป่าไม้และธรรมชาติ การรักษาป่าและเก็บกักน้ำด้วยการทําฝายกั้นน้ำให้มากขึ้น การประยุกต์การออกแบบลายผ้าแบบดั้งเดิมกับลายผ้าสมัยใหม่

2. การสร้างใหม่ คือ การคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ที่สัมพันธ์กับความรู้ดั้งเดิม เช่น การประดิษฐ์เครื่องมือ หรืออุปกรณ์การทอผ้าที่เอวที่อํานวยความสะดวกและมีความรวดเร็ว การคิดโครงการแก้ไขปัญหาชุมชนโดย อาศัยคุณค่าความอาทรที่ชาวบ้านเคยมีต่อกันมาหารูปแบบใหม่ เช่น การสร้างกลุ่มสหกรณ์ชุมชน การรวมกลุ่ม
แม่บ้าน

3. การอนุรักษ์ คือ การรักษาความดีงาม เช่น ประเพณีต่างๆ การแต่งกายชุดกะเหรี่ยงในวันสําคัญ การใช้ภาษากะเหรี่ยงในครอบครัว สนับสนุนให้ประกอบอาชีพงานหัตถกรรมเป็นอาชีพเสริม และส่งเสริมการสร้างคุณค่าในตนเองหรือการปฏิบัติตนเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในชุมชนและสิ่งแวดล้อม

4. การฟื้นฟู คือ การนําความรู้ที่ดีงามและสิ่งที่เคยปฏิบัติ เช่น วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ การนับถือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่สูญหายไป เลิกไปหรือเปลี่ยนไป ให้นํากลับมาปฏิบัติกันในชุมชน

ในขณะเดียวกัน ชุมชมบ้านผาด่าน ยังอุดมไปด้วยทรัพยากรทางวัฒนธรรม หรือมรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรม ถือเป็นศักยภาพที่สําคัญของชุมชน ที่สามารถนํามาพัฒนาด้วยกระบวนการจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพชุมชน ได้ดังนี้

1. สืบสานภูมิปัญญาเพื่อการธํารงความเป็นวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกะหรี่ยง แสดงถึงเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ เช่น การกําหนดแนวทางการพัฒนาห้องเรียนภูมิปัญญาเพื่อสืบทอด เอกลักษณ์ชาวกะเหรี่ยงเครือข่ายชุมชน ด้วยรูปแบบศูนย์การเรียนรู้หรือพิพิธภัณฑ์ และขยายผลสู่ กลุ่มเครือข่ายชาวกะเหรี่ยงในระดับประเทศ

2. สืบสานภูมิปัญญาเพื่อความเข้าใจภูมิปัญญาวัฒนธรรมในชุมชนและท้องถิ่น สําหรับการดําเนิน ชีวิตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง โดยเลือกกิจกรรมการทอผ้าที่เอว สร้างหลักสูตรจากภูมิปัญญาชาวบ้าน และสร้างชุดความรู้การทอผ้าที่เอวที่มีความร่วมสมัย ให้อยู่ในกระบวนการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบรวมทั้งเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปเข้ามาเรียนรู้พร้อมกับสามารถนําไปประกอบอาชีพได้

3. การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและอาหารชุมชน นับเป็นเครื่องมือสําคัญในการสร้างประสบการณ์ การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่และสร้างเศรษฐกิจฐานราก เนื่องจากการท่องเที่ยวในหมู่บ้านชนบท ที่มีลักษณะ วิถีชีวิต มีผลงานสร้างสรรค์ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น สร้างความเพลิดเพลินและได้รับความรู้ ภูมิปัญญาพื้นบ้าน อีกทั้งมีความเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่น บนพื้นฐานความรับผิดชอบและมีจิตสํานึก ต่อการรักษามรดกทางวัฒนธรรมและคุณค่าของสภาพแวดล้อม นําเสนอวัตถุดิบจากทุกท้องถิ่นมาเป็นองค์ประกอบในการปรุงอาหาร ทําให้เกิดการกระจายรายได้อย่างชัดเจนตรงไปยังท้องถิ่น

เพราะเป้าหมาย สําคัญคือ การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือสําคัญที่จะสร้างรายได้ กระจายรายได้ และลดความเหลื่อมล้าของ ประชาชนในประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่จะใช้ “การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารเป็นการ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” โดยกําหนดให้ภายในปี พ.ศ. 2568 รัฐบาลจะใช้อาหารเป็นตัวนําการท่องเที่ยว ทําให้เป็นการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารของไทยตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) สร้างชุมชนเป้าหมาย เพื่อการพัฒนาสู่การเป็นหมู่บ้านต้นแบบด้านท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารไทยของชุมชน (Gastronomy village tourism) ด้วยคุณลักษณะ ดังนี้

1. ความมีเอกลักษณ์ของอาหารท้องถิ่น

2. ความอุดมสมบูรณ์ของวัตถุดิบภายในท้องถิ่น

3. ความพร้อมและการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน

4. กิจกรรมสําหรับนักท่องเที่ยวที่มีความหลากหลาย

5. ความต้องการของชุมชนในการขอรับการสนับสนุนการพัฒนาการท่องเที่ยว

6. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายในท้องถิ่น และอื่น ๆ

ความท้าทาย

  • การทอผ้ากี่เอว งานจักสาน และงานแกะสลัก คนรุ่นใหม่ไม่มีความรู้ ทําไม่เป็น ขาดการถ่ายทอด
  • ผู้คนในชุมชนนิยมแต่งกายโดยใช้ผ้าของใหม่ (ใช้เครื่องจักรผลิต) ที่ราคาถูกกว่างานผ้าแบบดั้งเดิม(ใช้การทอผ้ากี่เอว) traditional backstrap loom technique).

ผลิตภัณฑ์จากชุมชนผาด่าน

ชุมชนทั้งหมด >>